ลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้า
การฉีดลดเลือนริ้วรอย เป็นการฉีดสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของปลายประสาทที่สั่งการกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อลดการเกร็งตัวสกัดจากเชื้อแบคทีเรีย แต่เดิมทางการแพทย์นำมาใช้เป็นยาฉีดรักษาโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตา แต่แพทย์สังเกตพบว่าผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฉีดแล้วริ้วรอยตีนกาดีขึ้นด้วย จึงดัดแปลงมาใช้ฉีดเพื่อรักษาริ้วรอยต่างๆที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาการฉีดลดเลือนริ้วรอยเป็นหัตถการที่ครองอันดับ 1 ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากฉีดง่าย ใช้เวลาสั้น และไม่เจ็บ จึงเป็นที่นิยมอย่างมาก
การฉีดลดเลือนริ้วรอย เหมาะกับใคร?
สามารถฉีดได้กับทุกคนที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าเช่นร้ิวรอยจากการแสดงสีหน้า รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยตีนกา US FDA อนุญาตให้ใช้ฉีดรักษารอยย่นบนหน้าผากได้ และนอกเหนือจากริ้วรอยแล้ว ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นตัวและเหงื่อได้อีกด้วย เมื่อฉีดในบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
ขั้นตอนในการฉีดลดเลือนริ้วรอยเป็นอย่างไร?
จะคล้ายๆ กันกับการฉีดสิว คุณหมอจะทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดด้วยแอลกอฮอล แล้วฉีดในบริเวณริ้วรอยต่างๆ ใช้เวลาประมาณ 5-15 นาที
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดลดเลือนริ้วรอย
การฉีดลดเลือนริ้วรอยเป็นการฉีดท๊อกซินซึ่งคือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ไวกับความร้อน
- หลังฉีดควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความร้อนเช่น ซาวน่า สตรีม เลเซอร์บนใบหน้า
- เลี่ยงการกดนวดบริเวณที่ฉีด
- ห้ามนอนราบ 4 ช.ม หลังฉีด
ฉีดแล้วเห็นผลเมื่อไหร่?
ออกฤทธิ์ที่ 3 วัน เต็มที่ ที่ 2 อาทิตย์ มีฤทธิ์อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
ข้อห้ามสำหรับการฉีดลดเลือนริ้วรอย
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตรห้ามฉีด
- ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ปริมาณยาที่ฉีดในแต่ละจุดเท่าไหร่?
แต่ละบุคคลมีการแสดงสีหน้าแตกต่างกัน ริ้วรอยมีมากน้อยแตกต่างกันจึงใช้ปริมาณยาแตกต่างกันตามริ้วรอยของคนไข้แต่ละคน โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กว่าผู้หญิง จะใช้ยาในปริมาณมากกว่า ในคนที่แสดงสีหน้ามากกว่าริ้วรอยลึกกว่าก็จะใช้ยาในปริมาณที่มากกว่าเป็นต้น
การบริหารยาของแพทย์เป็นศิลปะในการออกแบบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่คนไข้ต้องการ
ฉีดลดเลือนริ้วรอยของ อเมริกา / เกาหลี ต่างกันอย่างไร?
โดยต้นกำเนิดแล้วเจ้าดั้งเดิมเป็นของอเมริกา การออกฤทธิ์หรือตัวยาเดียวกันกับของเกาหลี แต่การทำให้ตัวยามีความบริสุทธิ์แตกต่างกันโดยของเกาหลีจะมีโปรตีนติดกับตัวยามามากกว่าของอเมริกาซึ่งส่งผลให้เกิดการดื้อยาได้ง่ายกว่าของอเมริกาแต่ทั้งคู่ยังอยู่ในปริมาณที่น้อยมากและยอมรับได้ตามเกณฑ์ของ อย. (ในกรณียี่ฮ้อยาที่ได้รับอย.) แต่ราคาจะแตกต่างกันประมาณ 1 เท่าตัว